เมนู

4. โฆฏมุขสูตร



[630] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระอุเทนอยู่ ณ เขมิยอัมพวัน ใกล้เมืองพาราณสี
ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ชื่อว่าโฆฏมุขะได้ไปถึงเมืองพาราณสีด้วยกรณียกิจ
บางอย่าง. ครั้งนั้นแล โฆฏมุขพราหมณ์เดินเที่ยวไปมาเป็นการพักผ่อน ได้เข้า
ไปยังเขมิยอัมพวัน . ก็สมัยนั้น ท่านพระอุเทนเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง. โฆฏ-
มุขพราหมณ์เข้าไปหาท่านพระอุเทนถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอุเทน
ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้เดินตามท่านพระอุเทนผู้
กำลังเดินจงกรมอยู่ ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนสมณะผู้เจริญ การบวชอันชอบ
ธรรมย่อมไม่มี ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ เพราะบัณฑิตทั้งหลาย
เช่นท่านไม่เห็นข้อนั้น หรือไม่เห็นธรรมในเรื่องนี้.
[631] เมื่อโฆฏนุขพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุเทนลงจาก
ที่จงกรม เข้าไปยังวิหาร แล้วนั่งบนอาสนะที่จัดไว้ แม้โฆฏมุขพราหมณ์ก็ลง
จากที่จงกรม เข้าไปยังวิหาร แล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ท่านพระอุเทนได้กล่าวกะโฆฏมุขพราหมณ์ว่า พราหมณ์ อาสนะมีอยู่ ถ้าท่าน
ปรารถนาก็เชิญนั่งเถิด.
โฆ. ก็ข้าพเจ้ารอการเชื้อเชิญของท่านพระอุเทนนี้แล จึงยังไม่นั่ง
เพราะว่าคนเช่นข้าพเจ้า อันใครไม่เชื้อเชิญก่อนแล้ว จะพึงสำคัญการที่จะพึง
นั่งบนอาสนะอย่างไร.
ลำดับนั้นแล โฆฏมุขพราหมณ์ถือเอาอาสนะต่ำแห่งหนึ่ง แล้วนั่ง ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอุเทนว่า สมณะผู้เจริญ การ

บวชอันชอบธรรมย่อมไม่มี. ในเรื่องนี้ข้าพเจ้ามีความเห็นอย่างนี้ เพราะบัณฑิต
ทั้งหลายเช่นท่านไม่เห็นข้อนั้น หรือไม่เห็นธรรมในเรื่องนี้ ท่านพระอุเทน
กล่าวว่าพราหมณ์ ถ้าท่านพึงยอมคำที่ควรยอม และพึงคัดค้านคำที่ควรคัดค้าน
ของเรา อนึ่ง ท่านไม่พึงรู้เนื้อความแห่งภาษิตใด พึงซักถามเราในภาษิตนั้น
ให้ยิ่งไปว่า ท่านอุเทน ภาษิตนี้อย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน
เพราะทำได้อย่างนี้ เราทั้งสองพึงมีการเจรจาปราศรัยในเรื่องนี้กันได้
โฆ. ข้าพเจ้าจักยอมคำที่ควรยอม และจักคัดค้านคำที่ควรคัดค้านของ
ท่านอุเทน. อนึ่ง ข้าพเจ้าจักไม่รู้เนื้อความแห่งภาษิตของท่านอุเทนข้อใด
ข้าพเจ้าจักซักถามท่านอุเทนในภาษิตข้อนั้น ให้ยิ่งขึ้นไปว่า ท่านอุเทน ภาษิตนี้
อย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้เป็นไฉน เพราะทำได้อย่างนี้ เราทั้งสองจง
เจรจาปราศรัยกันในเรื่องนี้เถิด.
[632] อุ. พราหมณ์ บุคคล 4 จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
4 จำพวกเป็นไฉน พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือนร้อน
ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือนร้อน 1 บางคนเป็นผู้ทำผู้อื่นให้
เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน 1 บางคนเป็น
ผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ทั้ง
เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อน 1
บางคนไม่เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตน
ให้เดือนร้อน ทั้งไม่เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายใน
การทำผู้อื่นให้เดือนร้อน บุคคลผู้ไม่ทำคนให้เดือนร้อนและไม่ทำผู้อื่นให้
เดือนร้อนนั้น เป็นผู้ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตน
เป็นดังพรหมอยู่ ในปัจจุบัน 1 พราหมณ์ บรรดาบุคคล 4 จำพวกนี้ บุคคล
ไหนย่อมยังจิตของท่านให้ยินดี.

โฆ. ท่านอุเทน บุคคลผู้ทำตนให้เดือนร้อน ประกอบความขวนขวาย
ในการทำคนให้เดือนร้อนนี้ ย่อมไม่ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี แม้บุคคลผู้ทำ
ผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อนนี้ ก็ไม่
ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี. ถึงบุคคลผู้ทำคนให้เดือนร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำคนให้เดือนร้อน ทั้งทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อนนี้ ก็ไม่ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี. ส่วน
บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือนร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้
เดือดร้อน ทั้งไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำ
ผู้อื่นให้เดือนร้อน ผู้ไม่ทำตนให้เดือนร้อนและไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อนนั้น
เป็นผู้ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหม
อยู่ในปัจจุบันเทียว บุคคลนี้ย่อมยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี.
อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ก็เพราะเหตุไร บุคคล 3 จำพวกนี้ จึงไม่ยังจิต
ของท่านให้ยินดี.
โฆ. ท่านอุเทน บุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย
ในการทำตนให้เดือดร้อน เขาย่อมทำคนผู้รักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือนร้อน ให้
เร่าร้อน เพราะเหตุนี้ บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี แม้บุคคลผู้ทำ
ผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อน เขาก็
ย่อมทำผู้อื่นซึ่งรักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือนร้อน ให้เร่าร้อน เพราะเหตุนี้ บุคคล
นี้จึงไม่ยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี. ถึงบุคคลผู้ทำคนให้เดือนร้อน ประกอบ
ความขวนขวายในการทำคนให้เดือดร้อน ทั้งทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบ
ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อน เขาก็ทำตนและผู้อื่นซึ่งรักสุขเกลียด
ทุกข์ให้เดือนร้อน ให้เร่าร้อน เพราะเหตุนี้ บุคคลนี้จึงไม่ยังจิตของข้าพเจ้า

ให้ยินดี. ส่วนบุคคลผู้ไม่ทำคนให้เดือนร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายใน
การทำตนให้เดือดร้อน ทั้งไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย
ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำคนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน
เป็นผู้ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหม
อยู่ในปัจจุบันเทียว เขาย่อมไม่ทำตนและผู้อื่นซึ่งรักสุขเกลียดทุกข์ให้เดือนร้อน
ให้เร่าร้อน เพราะเหตุนี้ บุคคลนี้จึงยังจิตของข้าพเจ้าให้ยินดี.
[633] อุ. พราหมณ์ บริษัท 2 จำพวกนี้ 2 จำพวกเป็นไฉน คือ
บริษัทพวกหนึ่งในโลกนี้ กำหนัดยินดีในแก้วมณีและกุณฑล ย่อมแสวงหา
บุตรและภรรยา ทาสีและทาส นาและที่ดิน ทองและเงิน ส่วนบริษัทพวก
หนึ่งในโลกนี้ ไม่กำหนัดยินดีในแก้วมณีและกุณฑล ละบุตรและภรรยา
ทาสิและทาส นาและที่ดิน ทองและเงิน แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต.
พราหมณ์ บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการ
ทำตนให้เดือนร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายใน
การทำผู้อื่นให้เดือนร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือนร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่
ในปัจจุบันเทียว ท่านเห็นบุคคลนี้ในบริษัทไหนมาก คือ ในบริษัทผู้กำหนัด
ยินดีในแก้วมณีและกุณฑล แสวงหาบุตรและภรรยา ทาสีและทาส นาและ
ที่ดิน ทองและเงิน และในบริษัทผู้ไม่กำหนัดยินดีในแก้วมณีและกุณฑล
ละบุตรและภรรยา ทาสีและทาส นาและที่ดิน ทองและเงิน แล้วออกบวช
เป็นบรรพชิต.
โฆ. ดูก่อนท่านอุเทน บุคคลผู้ไม่ทำตนให้เดือนร้อน ไม่ประกอบ
ความขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ไม่ประกอบ

ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำ
ผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข
มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันเทียว ข้าพเจ้าเห็นบุคคลนี้ มีมากในบริษัท
ผู้ไม่กำหนัดยินดีในแก้วมณีและกุณฑล ละบุตรและภรรยา ทาสีและทาส
นาและที่ดิน ทองและเงิน แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต.
อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ก็ในบัดนี้นั่นเองแล เราย่อมรู้คำที่ท่านกล่าวแล้ว
อย่างนี้ว่า ดูก่อนสมณะผู้เจริญ การบวชอันชอบธรรมย่อมไม่มี ข้าพเจ้ามีความ
เห็นในเรื่องนี้อย่างนี้ เพราะบัณฑิตทั้งหลายเช่นท่านไม่เห็นข้อนั้น หรือเพราะ
ไม่เห็นธรรมในเรื่องนี้.
โฆ. ดูก่อนท่านอุเทน วาจาที่ท่านกล่าวแก่ข้าพเจ้านั้น เป็นวาจามีเหตุ
สนับสนุนโดยแท้ การบวชอันชอบธรรมมีจริง ข้าพเจ้ามีความเห็นในเรื่องนี้
อย่างนี้ และขอท่านอุเทนโปรดจำข้าพเจ้าไว้อย่างนี้. อนึ่ง บุคคล 4 จำพวกนี้
ท่านอุเทนกล่าวแล้วโดยย่อไม่จำแนกโดยพิสดาร ขอโอกาสเถิดท่าน ขอท่าน
อุเทนช่วยอนุเคราะห์จำแนกบุคคล 4 จำพวกนี้โดยพิสดารแก่ข้าพเจ้าเถิด.
อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
โฆฏมุขพราหมณ์รับคำท่านพระอุเทนว่า อย่างนั้น ท่านผู้เจริญ.
[634] ท่านพระอุเทนได้กล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์ ก็บุคคลผู้ทำตน
ให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำตนให้เดือนร้อนเป็นไฉน
พราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนเปลือย ไร้มารยาท เลียมือ เขา
เชิญให้มารับภิกษาก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุดก็ไม่หยุด ไม่ยินดีภิกษาที่เขานำมา
ให้ ไม่ยินดีภิกษาที่เขาทำเฉพาะ ไม่ยินดีรับนิมนต์ ไม่รับภิกษาจากปากหม้อ
ไม่รับภิกษาจากปากกระเช้า ไม่รับภิกษาคร่อมธรณีประตู ไม่รับภิกษาคร่อม
ท่อนไม้ ไม่รับภิกษาคร่อมสาก ไม่รับภิกษาของคนสองคนกำลังบริโภคอยู่

ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์ ไม่รับภิกษาของหญิงผู้กำลังให้ลูกดูดนม ไม่รับ
ภิกษาของหญิงผู้คลอเคลียชาย ไม่รับภิกษาที่แนะนำทำกันไว้ ไม่รับภิกษาใน
ที่ที่สุนัขเฝ้าชะแง้ดู ไม่รับภิกษาในที่ที่แมลงวันตอมเป็นกลุ่ม ไม่รับปลา ไม่
รับเนื้อ ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มน้ำหมักดอง เขารับภิกษาที่เรือนหลัง
เดียว บริโภคคำเดียวบ้าง รับภิกษาที่เรือน 2 หลัง บริโภค 2 คำบ้าง ฯลฯ
รับภิกษาที่เรือน 7 หลัง บริโภค 7 คำบ้าง เลี้ยงชีวิตด้วยภิกษาในถาดน้อย
ใบเดียวบ้าง 2 บ้าง ฯลฯ 7 บ้าง กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่งบ้าง 2 วัน
บ้าง ฯลฯ 7 วันบ้าง เป็นผู้ประกอบความขวนขวายในการบริโภคภัตที่เวียน
มาตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีผักดองเป็นภักษาบ้าง มีข้าวฟ่าง
เป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าวเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่าย
เป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีข้าวไหม้เป็น
ภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้ามันและผลไม้
ในป่าเป็นอาหาร. บริโภคผลไม้หล่นเลี้ยงชีวิตบ้าง เขานุ่งห่มผ้าป่านบ้าง
ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนึ่งเสือบ้าง
หนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกไม้กรองบ้าง ผ้าผลไม้กรองบ้าง
ผ้ากัมพลทำด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขนปีกนก
เค้าบ้าง เป็นผู้ถือการถอนผมและหนวด คือ ประกอบความขวนขวายในการ
ถอนผมและหนวดบ้าง เป็นผู้ถือการยืน คือ ห้ามอาสนะบ้าง เป็นผู้ถือ
กระหย่ง คือ ประกอบความเพียรในการเดินกระหย่งบ้าง เป็นผู้ถือการนอน
บนหนาม คือ สำเร็จการนอนบนหนามบ้าง เป็นผู้ถือการอาบน้ำวันละ 3
ครั้ง คือ ประกอบความขวนขวายในการลงน้ำบ้าง เป็นผู้ขวนขวายในการ
ประกอบเหตุเครื่องทำกายให้เดือนร้อน ให้เร่าร้อน ด้วยวิธีเป็นอันมากเช่นนี้

อยู่ ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลนี้เรียกว่า เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำตนให้เดือดร้อน.
[635] ดูก่อนพราหมณ์ ก็บุคคลผู้ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบ
ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อน เป็นไฉน ดูก่อนพราหมณ์ บุคคล
บางคนในโลกนี้ เป็นคนฆ่าหมูขายเลี้ยงชีพ เป็นคนฆ่านกขายเลี้ยงชีพ เป็น
คนฆ่าเนื้อขายเลี้ยงชีพ เป็นพราน เป็นคนฆ่าปลา เป็นโจร เป็นคนรับจ้าง
ฆ่าโจร เป็นใหญ่ในเรือนจำ หรือแม้ใคร ๆ อื่นผู้มีการงานอันหยาบช้า ดูก่อน
พราหมณ์ บุคคลนี้เรียกว่า เป็นคนทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบความขวน
ขวายในการทำผู้อื่นให้เดือนร้อน.
[636] พราหมณ์ ก็บุคคลผู้ทำคนให้เดือดร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำตนให้เดือนร้อน ทั้งทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ประกอบความ
ขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นไฉน ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลบางคน
ในโลกนี้ เป็นพระราชามหากษัตริย์ ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว หรือเป็นพราหมณ
มหาศาล เขาสั่งให้สร้างห้องประชุมใหม่ไว้ด้านตะวันออกแห่งนคร แล้วปลงผม
และหนวด นุ่งหนังเสือทั้งเล็บ เอาน้ำมันเจือเนยใสทากาย เกาหลังด้วยเขาสัตว์
เข้าไปยังห้องประชุมพร้อมด้วยมเหสีและพราหมณปุโรหิต เขานอนบนพื้นดิน
อันไม่มีเครื่องลาด ซึ่งไล้ทาด้วยของเขียวสด พระราชาเลี้ยงพระองค์ด้วยน้ำนม
ในเต้าที่หนึ่ง พระมเหสีเลี้ยงพระองค์ด้วยน้ำนมในเต้าที่ 2 พราหมณปุโรหิต
เลี้ยงตัวด้วยน้ำนมในเต้าที่ 3 บูชาไฟด้วยน้ำนมในเต้าที่ 4 ลูกโคเลี้ยงชีวิต
ด้วยน้ำนมที่เหลือแห่งแม่โคลูกอ่อนตัวเดียว เขาสั่งอย่างนี้ว่า จงฆ่าโคผู้เท่านี้
ลูกโคผู้เท่านี้ ลูกโคเมียเท่านี้ แพะเท่านี้ แกะเท่านี้ เพื่อประโยชน์แก่การ
บูชายัญ จงตัดต้นไม้เท่านี้ เพื่อประโยชน์แก่การทำโรงบูชายัญ จงถอนหญ้า
เท่านี้เพื่อลาดพื้น ชนเหล่าใดเป็นทาสก็ดี เป็นคนใช้ก็ดี เป็นกรรมกรก็ดี

ของพระราชาหรือพราหมณมหาศาลนั้นชนเหล่านั้นถูกอาชญาคุกคาม ถูกภัย
คุกคาม ร้องไห้น้ำตานองหน้า ทำการงานตามกำหนดสั่ง ดูก่อนพราหมณ์
บุคคลนี้เรียกว่า เป็นผู้ทำตนให้เดือนร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำ
ตนให้เดือดร้อน ทั้งทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวายในการทำ
ผู้อื่นให้เดือดร้อน.
[637] ดูก่อนพราหมณ์ ก็บุคคลผู้ไม่ทำคนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบ
ความขวนขวายในการทำตนให้เดือนร้อน ทั้งไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน ไม่ประกอบ
ความขวนขวายในการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เขาไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่น
ให้เดือนร้อน เป็นผู้ไม่มีความหิว ดับสนิท เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตน
เป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันเทียว เป็นไฉน ดูก่อนพราหมณ์ พระตถาคตเจ้า
เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ...เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก
ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อม
ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้อง
ต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดีก็ดี บุตรคฤหบดีก็ดี หรือ
บุคคลผู้เกิดภายหลังในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ได้ฟังธรรมนั้น ครั้นได้ฟังธรรม
นั้นแล้ว ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตเจ้า เขาประกอบด้วยศรัทธานั้น ย่อม
เห็นตระหนักชัดว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี (คือกิเลส) บรรพชา
เป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้
บริบูรณ์บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ที่ขัดแล้วไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เรา
พึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาด ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด สมัย

ต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ และเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผมและ
หนวด นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาค ออกบวชเป็นบรรพชิต.
[638] เมือเขาบวชแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและอาชีพ
เสมอด้วยภิกษุทั้งหมด เป็นผู้ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางท่อน
ไม้วางศาสตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อ
กูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่. ละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของ
ที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่พระพฤติตนเป็นขโมย มีตนสะอาดอยู่.
ละกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ พระพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล
เว้นจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน. ละการกล่าวเท็จ เว้นขาดจากการกล่าว
เท็จ พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐานควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก.
ละคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้ว ไม่ไปบอกข้างโน้น
เพื่อให้คนหมู่นี้แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้
คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียง
กันบ้าง ชอบคนผู้พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลิน
ในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน . ละคำหยาบ เว้น
ขาดจากคำหยาบ กล่าวแต่คำไม่มีโทษ เพราะหูชวนให้รัก จับใจ เป็นคำ
ของชาวเมือง คนส่วนมากรักใคร่พอใจ. ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ
พูดถูกกาล พูดคำจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมี
หลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร. เธอ
เป็นผู้เว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เป็นผู้ฉันหนเดียว เว้นการฉัน
ในราตรี งดการฉันในเวลาวิกาล เป็นผู้เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้องการ
ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เป็นผู้เว้นขาดจากการทัด
ทรง ประดับและตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม และเครื่องประเทืองผิว

อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว เว้นขาดจากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่
เว้นขาดจากการรับทองและเงิน เว้นขาดจากการรับธัญชาติดิบ เว้นขาดจาก
การรับเนื้อดิบ เว้นขาดจากการรับหญิง และเด็กหญิง เว้นขาดจากการรับทาสี
และทาส เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร
เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้าและลา เว้นขาดจากการรับนาและที่ดิน เว้น
ขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับ ใช้ เว้นขาดจากการซื้อและการขาย
เว้นจากการฉ้อโกงด้วยตราชั่ง การโกงด้วยของปลอมและการโกงด้วยเครื่องตวง
วัด เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง เว้นขาดจาก
การตัด การฆ่าการจองจำ ตีชิงการปล้นและกรรโชก เธอเป็นผู้สันโดษด้วย
จีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารต้อง จะไปทางทิศา
ภาคใด ๆ ก็ถือเอาไปได้เอง เปรียบเหมือนนก จะบินไปทางทิศาภาคใด ๆ
ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉะนั้น เธอประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นของ
พระอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่มีโทษเฉพาะตน. เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว
ไม่เป็นผู้ยึดถือนิมิตร ไม่ยึดถืออนุพยัญชนะย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์
ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌา และ
โทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟัง
เสียงด้วยหู...สูดกลิ่นด้วยจมูก.. .ลิ้มรสด้วยลิ้น ...ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่เป็นผู้ยึดถือนิมิตร ไม่ยึดถืออนุพยัญชนะ ย่อม
ปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว พึงเป็นเหตุให้อกุศลธรรม
อันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ถึงความ
สำรวมในมนินทรีย์ เธอประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นของพระอริยะนี้ ย่อม
ได้เสวยสุขอันบริสุทธิ์ เฉพาะตน. เธอเป็นผู้กระทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป
ในการถอยกลับ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการแล ในการเหลียวย่อมทำความรู้สึก

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ย่อมทำความรู้สึกตัวในการทรงผ้าสังฆาฏิ
บาตรและจีวร ย่อมทำความรู้สึกตัวในการฉัน ในการดื่ม ในการเคี้ยว ใน
การลิ้ม ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวใน
การเดิน ในการยืน ในการนั่ง ในการหลับ ในการตื่น ในการพูด.
[639] ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์ อันเป็นของพระอริยะด้วย
อินทรีย์สังวรอันเป็นของพระอริยะ และด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นของพระอริยะ
เช่นนี้ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า
ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตในเวลาภายหลังภัต นั่งคู้บัลลังก์
ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละอภิชฌาในโลก มีใจปราศจากอภิชฌา
อยู่. ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา. ละความประทุษร้ายคือพยาบาทไม่
คิดพยาบาท มีความกรุณาหวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่. ย่อมชำระ
จิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือพยาบาท ละถีนมิทธะ ปราศจากถีนมิทธะ
มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์
จากถีนมิทธะ. ละอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านมีจิตสงบ ณ ภายในอยู่
ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ. ละวิจิกิจฉา ข้ามพ้นวิจิกิจฉา ไม่
มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา.
[640] ภิกษุนั้น ละนิวรณ์ 5 ประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ
ทำปัญญาให้ทุรพล เหล่านี้แล้ว สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌานอันมี
วิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌานอันมีความผ่องใส
แห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจาร
สงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะและ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย
สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข บรรลุจตุตถฌาน

อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
[641] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหว
แล้วอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาณ เธอย่อมระลึกถึง
ชาติก่อนได้เป็นอันมากคือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติ
บ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏ-
กัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เราได้มีชื่อ
อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข
เสวยทุกข์อย่างนั้น ๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไป
เกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิว-
พรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้น ๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกถึง
ชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.
[642] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ.. .ถึงความไม่หวั่น ไหวแล้วอย่าง
นี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เธอย่อมเห็นหมู่
สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม
ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่
สัตว์เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต ฯลฯ ติเตียนพระ-
อริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป จึง
ต้องเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต
ฯลฯ ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ถือมั่นการกระทำด้วยอำนาจสัมมา-

ทิฐิ เมื่อตายไป ได้เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์. เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป
ตามกรรม ด้วยประการฉะนี้.
[643] ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ ... ถึงความไม่หวั่นไหวแล้วอย่าง
นี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่อญาณเป็นเหตุสิ้นอาสวะ เธอย่อมรู้ชัดตามความเป็น
จริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุ
เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติเครื่องให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเธอ
รู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้
จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อม
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกมิได้มี. ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่
ทำคนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำคนให้เดือดร้อน ทั้ง
ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
เขาไม่ทำคนให้เดือดร้อน ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีความหิว ดับสนิท
เป็นผู้เย็น เสวยแต่ความสุข มีตนเป็นดังพรหมอยู่ในปัจจุบันเทียว.
[644] เมื่อท่านพระอุเทนกล่าวอย่างนี้แล้ว โฆฏมุขพราหมณ์ ได้
กล่าวกะท่านพระอุเทนว่า ข้าแต่ท่านอุเทน ภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ข้าแต่
ท่านอุเทนภาษิตของท่านแจ่มแจ้งนัก ท่านอุเทนประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตาม
ประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพเจ้านี้
ขอถึงท่านอุเทนกับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่านอุเทนทรง
จำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ท่านอย่าได้ถึงอาตมาเป็นสรณะเลย เชิญท่าน
ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าที่อาตมาถึงเป็นสรณะเถิด.
โฆ. ข้าแต่ท่านอุเทน เดี๋ยวนี้ ท่านพระโคดมอรหัตสัมมาสัมพุทธ
เจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน.
อุ. ดูก่อนพราหมณ์ เดี๋ยวนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้าพระองค์นั้น เสด็จปรินิพพานเสียแล้ว.
โฆ. ข้าแต่ท่านอุเทน ถ้าแหละข้าพเจ้าพึงได้ฟังว่า ท่านพระโคดม
พระองค์นั้น ประทับอยู่ในหนทางแม้ 10 โยชน์ ข้าพเจ้าก็พึงไปเฝ้าท่านพระ-
โคดมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แม้สิ้นหนทาง 10 โยชน์ ถ้าแหละ
ข้าพเจ้าพึงได้ฟังว่า ท่านพระโคดมพระองค์นั้น ประทับอยู่ในหนทาง 20
โยชน์ 30 โยชน์ 40 โยชน์ 50 โยชน์ แม้ 100 โยชน์ ข้าพเจ้าก็พึง
ไปเฝ้าท่านพระโคดมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แม้สิ้นหนทาง 100
โยชน์ แต่ว่าท่านพระโคดมพระองค์นั้น เสด็จปรินิพพานเสียแล้ว ข้าพเจ้าขอ
ถึงท่านพระโคดมพระองค์นั้น แม้เสด็จปรินิพพานแล้ว กับทั้งพระธรรมและ
พระภิกษุสงฆ์ เป็นสรณะ ขอท่านอุเทนทรงจำข้าพเจ้าว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ
ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อนึ่ง มีเบี้ยเลี้ยงประจำ ที่พระเจ้าอังคราช
โปรดพระราชทานแก่ข้าพเจ้าทุกวัน ข้าพเจ้าขอถวายส่วนหนึ่งจากเบี้ยเลี้ยง
ประจำนั้นแก่ท่านอุเทน.
[645] อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ก็พระเจ้าอังคราชโปรดพระราชทานอะไร
เป็นเบี้ยเลี้ยงประจำทุกวันแก่ท่าน.
โฆ. ข้าแต่ท่านอุเทน พระเจ้าอังคราชโปรดพระราชทานกหาปณะ
500 เป็นเบี้ยเลี้ยงประจำแก่ข้าพเจ้า.

อุ. ดูก่อนพราหมณ์ การรับทองและเงิน ไม่สมควรแก่อาตมาทั้งหลาย.
โฆ. ข้าแต่ท่านอุเทน ถ้าทองและเงินนั้นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะให้
สร้างวิหารถวายท่านอุเทน.
อุ. ดูก่อนพราหมณ์ ถ้าแลท่านปรารถนาจะให้สร้างวิหารถวายอาตมา
ก็ขอให้สร้างโรงเลี้ยงถวายแก่สงฆ์ในเมืองปาตลีบุตรเถิด.
โฆ. ด้วยข้อที่ท่านอุเทนชักชวนข้าพเจ้าในสังฆทานนี้ ข้าพเจ้ามีใจ
ชื่นชมยินดีเหลือประมาณ ข้าแต่ท่านอุเทน ข้าพเจ้าจะให้สร้างโรงเลี้ยงถวาย
แก่สงฆ์ในเมืองปาตลีบุตร ด้วยเบี้ยเลี้ยงประจำส่วนนี้ด้วย ด้วยเบี้ยเลี้ยงประจำ
ส่วนอื่นด้วย.
ครั้งนั้นแล โฆฏมุขพราหมณ์ให้จัดสร้างโรงเลี้ยงถวายแก่สงฆ์ในเมือง
ปาตลีบุตร ด้วยเบี้ยเลี้ยงประจำส่วนนี้และส่วนอื่น โรงเลี้ยงนั้น เดี๋ยวนี้เรียกว่า
โฆฏมุขี ฉะนี้แล.

จบ โฆฏมุขสูตรที่ 4

อรรถกถาโฆฏมุขสูตร



โฆฏมุขสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพระสูตรนั้น บทว่า เขมิยัมพวัน ได้แก่ สวนมะม่วงอันมีชื่อ
อย่างนั้น1. คำว่า การบวชประกอบด้วยธรรม ได้แก่ การงดเว้นอันประ-
กอบด้วยธรรม. บทว่า เพราะไม่เห็น ความว่า เพราะไม่เห็นบัณฑิตเช่น
กับท่าน. คำว่า ก็หรือว่าในเหตุนี้ มีธรรมใดเป็นสภาพ ความว่า ก็หรือ
ว่าธรรมคือสภาวะนั้นเอง อันใดในที่นี้ เพราะไม่เห็นสภาวะอันนั้น . ด้วยบท
นี้ ท่านแสดงว่า ถ้อยคำของเราไม่เป็นประมาณ ธรรมอย่างเดียวเป็นประมาณ.
แต่นั้น พระเถระคิดว่า ในที่นี้พึงมีการงานมากเหมือนในเรือนอุโบสถ หมู่
จึงหลีกออกจากที่จงกรม เข้าไปนั่ง ณ บรรณศาลานั่งแล้ว . เพื่อจะแสดงเรื่อง
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อกล่าวแล้วอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น . คำว่า พราหมณ์
4 คนเหล่านี้
ความว่า ได้ยินว่า พระเถระได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พราหมณ์
นี้กล่าวว่า ผู้เข้าถึงบรรพชาอันประกอบด้วยธรรมเป็นสมณะ หรือเป็นพราหมณ์
หามีไม่. พระเถระครั้นแสดงบุคคล 4 และบริษัท 2 แก่พราหมณ์นี้แล้ว
จึงเริ่มเทศนานี้ว่า เราจักถามบุคคลที่ 4 ว่า ท่านเห็นมีมากในบริษัทไหน
พราหมณ์เมื่อรู้อยู่กล่าวว่า ในบริษัทของผู้ไม่ครองเรือน เราจักให้พราหมณ์
นั้นกล่าวด้วยปากของตนนั่นเทียวว่า การงดเว้นที่ประกอบด้วยธรรมมีอยู่ ด้วย
ประการฉะนี้.

1. ส่วนนี้พระราชเทวีพระนามว่า เขมิยา ปลูกไว้.